บทที่3 แนวความคิดโครงการ


บทที่ 3
แนวความคิดโครงการ
    
โครงการพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ผ้าทอไทย เป็นโครงการทางด้านพิพิธภัณฑ์กึ่งศูนย์เรียนรู้ เป็น โครงการที่เน้นถึงความเป็นสากล ซึ่งต้องสามารถนำเสนอตัวโครงการออกสู่ในระดับมาตราฐานของชาวต่างประเทศได้  อีกทั้งความเป็นอีกทั้งเป็นโครงการที่เกี่ยวกับด้านแฟชั่น หรือศาสตร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับผ้าทั้งในการออกแบบ และตัดเย็บประกอบกับในเนื้อหาของแฟชั่นก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงในตัวเองตลอดเวลาไปตามยุคตามสมัย ดังนั้นจึงมีผลต่อการวางแนวความคิดโครงการสถาบันแฟชั่นดีไซน์นานาชาติ ดังนี้

· รูปลักษณ์ของโครงการควรจะสื่อความเป็นสถาบันทางแฟชั่นดีไซน์อย่างชัดเจน ในลักษณะที่สวยงาม น่าสนใจ และสื่อความนำสมัยด้วยเอกลักษณ์ของความเป็นไทย
· โครงการต้องมีความลื่นไหลและต่อเนื่องทั้งในส่วนของรูปลักษณ์อาคาร พื้นที่ว่าง และระบบสัญจรภายในโครงการ เพื่อสื่อความเป็นลักษณะของการเคลื่อนไหวที่แสดงออกมาในการแสดงแบบเสื้อผ้า
•   โครงการควรจะจัดพื้นที่จัดแสดงผลงาน โชว์ผลงาน ให้มีความน่าสนใจ และก่อให้เกิดการเรียนรู้
· โครงการควรจะมีการสร้างพื้นที่ว่าง บรรยากาศ และสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อส่งเสริมทางด้านการเรียนรู้ เพื่อให้นักศึกษามีความคิดสร้างสรรค์ และสนใจในศิลปะของผ้า ตลอดจนการออกแบบที่มีคุณภาพ โดยสามารถสร้างจินตนาการออกมาได้อย่างสวยงาม และไม่รู้สึกที่จะเบื่อหน่าย
            · โครงการควรจะนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัย และฟังชั่นของอาคารที่มีความพิเศษ ตลอดจนโครงสร้างพิเศษที่ทันสมัยเข้ามาใช้ร่วมในการออกแบบโครงการ ไม่ว่าจะเป็นส่วนสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนการจัดแสดงแฟชั่นโชว์ เพื่อให้ตอบสนองกับแนวความคิดโครงการทั้งหมด
            
     จากแนวความคิดโครงการพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ผ้าทอไทย สามารถนำเสนอความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกันต่อเนื่องตลอดทั้งกระบวนการจัดทำรายละเอียดโครงการ(Programming Procedure) โดยแนวความคิดโครงการสามารถแยกออกเป็น 4ด้าน ได้ดังนี้
            3.1แนวความคิดด้านหน้าที่ใช้สอย(Function Concepts)
            3.2แนวความคิดด้านรูปแบบ(Form Concepts)
            3.3แนวความคิดด้านเศรษฐศาสตร์(Economy Concepts)
            3.4แนวความคิดด้านเทคโนโลยี(Technology Concepts)
            

3.1แนวความคิดด้านหน้าที่ใช้สอย(Function Concepts)
            แนวความคิดโครงการด้านหน้าที่ใช้สอยเป็นส่วนที่แสดงถึงรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายในโครงการกับรูปแบบการใช้พื้นที่ ดังนั้นในการกำหนดแนวความคิดด้านนี้จึงแยกออกมาทีละองค์ประกอบโดยแทรกพฤติกรรมที่เกิดขึ้นภายในแต่ละองค์ประกอบให้เห็นอย่างชัดเจน  ดังนี้
            3.1.1ภาพรวมของโครงการ(Overall Project)
            3.1.2ส่วนองค์ประกอบหลักโครงการ (Main –Function Zone)
ส่วนจัดแสดงผลงานผ้าทอ ทั้งถาวร และชั่วคราว (Exhibition Zone)
3.1.3ส่วนองค์ประกอบรองโครงการ(Sub-Function Zone)
การศึกษาทางผ้าทอ (Education Zone) ได้แก่ส่วนภาคทฤษฎี และส่วนภาคปฏิบัติ
ส่วนบริการการศึกษา(Education Service Zone) ได้แก่ส่วนห้องสมุดและโสตทัศนูปกรณ์
3.1.4ส่วนจัดแสดงแฟชั่นโชว์
3.1.5.ส่วนสาธารณะ(Public Zone)
            3.1.6ส่วนสนับสนุนโครงการ(Supporting Function Zone) ได้แก่ ส่วนร้านค้า และร้านอาหาร
3.1.7ส่วนบริหารโครงการ (Administration Zone)
            3.1.8ส่วนบริการอาคาร(Service Zone)
            3.1.9ส่วนจอดรถ (Parking Zone)
            โดยแต่ละส่วนจะมีการกำหนดแนวความคิดโครงการ(Programing Concept) ตามแนวความคิดที่สัมพันธ์กับข้อมูลพื้นฐาน ด้วยหัวข้อแนวความคิดต่างๆดังนี้

1. ส่วนจัดแสดงนิทรรศการ(Exhibition Zone)
ส่วนการจัดแสดงนิทรรศการจะแบ่งเป็นสองส่วนคือ
-ส่วนที่เป็นการจัดแสดงนิทรรศการแบบถาวร
            เป็นส่วนการจัดแสดงผลงานประวัติ ความเป็นมาของผ้าทอไทยชนิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในยุคสมัยเริ่มต้นจนพัฒนามาถึงยุคปัจจุบันและรวมถึงยุคอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น การจัดนิทรรศการจะถูกแบ่งแยกไว้ตามประเภทของผ้าทอ

-ส่วนที่เป็นการจัดแสดงนิทรรศการแบบชั่วคราว
เป็นส่วนการจัดแสดงผลงานของผ้าทอไทยรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันจากทั่วโลก และภายในประเทศไทย  รวมไปถึงการจัดให้มีส่วนการจัดแสดงผลงานของนักเรียน-นักศึกษาไทย บุคคลทั่วไป ที่อาจจะผ่านการประกวดจากงานต่างๆเพื่อไม่ให้สูญหายและถูกมองข้าม ซึ่งอาจจะนำไปพัฒนาต่อและสามารถจดสิทธิบัตรได้ ซึ่งจะหมุนเวียนเปลี่ยนชิ้นงานไปเรื่อยๆ
จัดแสดงเนื้อหาที่แปลกใหม่น่าสนใจอาจจะมีการเปลี่ยนงานที่จัดแสดงในทุกๆ1-2เดือน
เพื่อเพิ่มความน่าสนใจในการรับชม
            2. ส่วนการศึกษา(Education Zone)
เป็นส่วนการเรียนการสอนให้ความรู้เกี่ยวกับผ้าทอ การออกแบบผ้าทอ ลาย ความรู้พืเนฐานด้านการทอ ตัดเย็บ เป็นต้น มีการเรียนทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติ ห้องเรียนของการโครงการจะมีห้องเรียนที่หลากหลายเนื่องจากการมีกิจกรรมที่แตกต่างกัน สามารถเข้าถึงได้โดยตรงจากโถงทางเข้าหลัก สามารถเชื่อมต่อกับส่วนบริหารการศึกษาเพื่อสะดวกในการบริหารงาน ส่วนห้องสมุดและโสตทัศนูปกรณ์สามารถเข้าถึงได้ง่ายจากโถงหลักสำหรับบุคคลภายนอก และเข้าถึงได้จากส่วนการศึกษาสำหรับกลุ่มผู้ใช้หลักของโครงการ
3. ส่วนจัดแสดงงานแฟชั่นโชว์(Fashion Show Zone)
            จุดประสงค์หลักคือเป็นส่วนที่นักศึกษาแสดงผลงานที่ได้ออกแบบจากผ้าทอ หรือแป็นผลงานที่ได้จากการออกแบบผ้าชนิดอื่นๆ และจุดประสงค์รองคือเป็นสถานที่ให้เหล่าดีไซน์เนอร์มาใช้แสดงผลงานแฟชั่นให้กับบุคคลภายนอกและภายในได้เข้าชม  หรือเป็นการจัดแสดงงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับศิลปศาสตร์แฟชั่น โดยส่วนจัดแสดงงานแฟชั่นโชว์สามารถเข้าถึงโดยง่ายจากภายนอก สำหรับกลุ่มบุคคลทั่วไป และสามารถเข้าได้โดยตรงสำหรับกลุ่มผู้ใช้โครงการหลักของโครงการอีกทั้งควรมีส่วนเส้นทางบริการอาคารรับรองส่วนนี้ โดยแยกออกจากเส้นทางหลัก และเส้นทางรองของโครงการ

4.ส่วนสาธารณะ (Public Zone)
          เป็นส่วนเชื่อมองค์ประกอบต่างๆของโครงการเข้าด้วยกัน อีกทั้งเป็นจุดผ่านหลักของโครงการก่อนที่จะเข้าสู่ส่วนต่างๆของโครงการ
5.ส่วนร้านค้า และร้านอาหาร (Canteen and Retail Shops)
          ส่วนนี้เป็นส่วนสนับสนุนโครงการให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น การเข้าถึงส่วนนี้ควรเข้าถึงได้ง่ายทั้งส่วนบุคคลกลุ่มผู้ใช้โครงการหลัก และกลุ่มบุคลภายนอก อีกทั้งต้องใกล้กับส่วนบริการอาคารในการขนถ่ายสินค้า
6. ส่วนบริหารโครงการ (Administration Zone)
            เป็นส่วนพื้นที่ของกลุ่มผู้ที่ทำหน้าที่บริหารโครงการ ได้แก่กลุ่มผู้บริหาร และกลุ่มพนักงาน โดยส่วนพื้นที่นี้จะแยกออกมาเป็นอีกส่วนขององค์ประกอบต่างๆของโครงการ โดยควรจะมีทางเข้าอีกส่วนหนึ่งเพื่อง่ายต่อการจำแนกประเภทผู้ใช้โครงการ
7. ส่วนบริการอาคาร (Service Zone)
            เป็นส่วนที่มีความสำคัญกับโครงการเนื่องจากเป็นส่วนที่ดูแลบำรุงรักษาอาคาร และควบคุมงานระบบทุกประเภทของแต่ละองค์ประกอบโครงการ ดังนั้นส่วนบริการอาคารต้องมีเส้นทางบริการอาคารที่สามารถเข้าถึงได้ทุกองค์ประกอบที่สำคัญ
8.ส่วนจอดรถ (Parking Zone)
ส่วนที่จอดรถของโครงการ ต้องสามารถเชื่อมต่อกับทางเข้าหลักของโครงการได้ และสามารถเข้าถึงส่วนบริการอาคารโดยง่าย เพื่อง่ายต่อการขนถ่ายสินค้า และการให้บริการอาคาร


2.แนวความคิดที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม
แนวความคิดที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเป็นการวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมผู้ใช้โครงการสัมพันธ์กับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละองค์ประกอบ
โครงการพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ผ้าทอไทยมีแนวความคิดที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม ในแต่ละองค์ประกอบดังนี้

ก.การจัดกลุ่มกิจกรรม(Activities Grouping)
แผนผังที่3.2 แสดงการจัดกลุ่มกิจกรรมกลุ่มรวมแยกตามผู้ใช้โครงการ
ข.ลำดับความสำคัญของกิจกรรม(Sequence of Activities)
แผนผังที่3.3 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างลำดับของกิจกรรมกับกลุ่มผู้ใช้โครงการหลัก
ง.ความต้องการใช้พื้นที่ของกิจกรรม(Activity Requirements)
โดยแนวความคิดโครงการในเรื่องความต้องการใช้พื้นที่ของกิจกรรมจะมีรายละเอียดแสดงถึงเนื้อหา และเรื่องราวของกิจกรรม รวมถึงความต้องการของกิจกรรมนั้นๆให้เกิดขึ้นภายในโครงการ

3.แนวความคิดที่เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการ(Operation)
           ก.ระบบบริการ(Service Management)
ข.ระบบรักษาความปลอดภัย(Security Control)


รูปที่3.10 ระบบรักษาความปลอดภัยในส่วนของการเข้าสู่สถาบัน ด้วยการควบคุมการเข้าออก ของยานพาหนะ และกลุ่มผู้ใช้โครงการ ด้วยพนักงานรักษาความปลอดภัย

ส่วนการศึกษา(Education Zone)
            -ส่วนองค์ประกอบหลักของโครงการคือส่วนการจัดแสดง  แนวความคิดโครงการในส่วนของส่วนการจัดแสดง คือการใช้เส้นทางสัญจรในการแบ่งประเภทผู้ใช้โครงการให้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน โดยสามารถผ่านโถงส่วนสาธารณะ และส่วนนิทรรศการโชว์ผลงานดึงดูดความสนใจก่อน แล้วจึงแยกไปตามส่วนการใช้งาน เพื่อง่ายต่อการควบคุมกลุ่มผู้ใช้งาน และเป็นการบังคับเพื่อให้เกิดจึงรวมกันของกลุ่มผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดการพบปะสังสรรค์
            -ส่วนการศึกษาหลัก ได้แก่ส่วนห้องเรียนทางภาคทฤษฎี และส่วนทางด้านภาคปฏิบัติจะต้องสามารถเข้าถึง และรับรู้ได้โดยง่ายต่อการใช้งาน และทั้งสองส่วนนี้ต้องสามารถเข้าถึงกันได้โดยง่าย เพราะมีความสัมพันธ์กันในแง่ของการใช้งาน
            -ส่วนห้องพักผู้สอนและส่วนบริหารการศึกษาต้องอยู่ใกล้เคียงกัน เนื่องจากมีความสัมพันธ์กันในการปฏิบัติงาน และมีทางเข้าสู่ทั้ง 2ส่วนนี้แยกออกจากเส้นทางหลัก เพื่อแยกประเภทผู้ใช้งานให้ชัดเจน
            -เส้นทางอันเป็นเส้นบริการส่วนการศึกษาซึ่งสัมพันธ์กับห้องแม่บ้าน และห้องเก็บของ ต้องแยกออกไปอย่างชัดเจนไม่ปะปนกับเส้นทางหลัก และเส้นทางรองเพื่อสามารถแบ่งประเภทกลุ่มผู้ใช้งานได้อย่างชัดเจน

           
 ส่วนบริการการศึกษา(Education Service Zone)
            -ส่วนห้องสมุด ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งกลุ่มผู้ใช้โครงหลัก และกลุ่มผู้ใช้โครงการรอง ดังนั้นจึงควรเข้าถึงง่ายจากส่วนของการศึกษา และส่วนสาธารณะของโครงการ โดยสามารถแยกเส้นทางของแต่ละกลุ่มผู้ใช้โครงการได้อย่างชัดเจน
              -ส่วนโสตทัศนูปกรณ์ ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งกลุ่มผู้ใช้โครงหลัก และกลุ่มผู้ใช้โครงการรอง ดังนั้นจึงควรเข้าถึงง่ายจากส่วนของการศึกษา และส่วนสาธารณะของโครงการ โดยสามารถแยกเส้นทางของแต่ละกลุ่มผู้ใช้โครงการได้อย่างชัดเจน

ส่วนจัดแสดงแฟชั่นโชว์

           ส่วนจัดแสดงแฟชั่นโชว์ เป็นส่วนที่จัดได้ว่าเป็นแนวความคิดโครงการ ซึ่งเป็นส่วนสนับสนุนส่วนการศึกษาในการใช้แสดงผลงานของนักศึกษา หรือเป็นส่วนจัดแสดงงานแฟชั่นโชว์ต่างๆ ที่จัดขึ้นโดยนักศึกษาคณะนฤมิตศิลป์ สาขาแฟชั่นดีซายด์ หรือจะเป็นองค์กร ห้องเสื้อ บริษัท องค์กรต่างๆที่เช่าพื้นที่เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์สินค้า ดังนั้นส่วนจัดแสดงแฟชั่นโชว์จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นหน้าตาของโครงการ ดังนั้นแนวความคิดโครงการด้านความสัมพันธ์ส่วนจัดแสดงแฟชั่นโชว์ จึงมีรายละเอียดดังนี้
              ส่วนแสดงแฟชั่นโชว์มีส่วนของพื้นที่ใช้สอยที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าส่วน Private Zone ส่วน Public Zone หรือส่วน Service Zone ดังนั้นกลุ่มผู้ใช้งานจึงมีความหลากหลายดังนั้นจึงควรแยกกลุ่มการใช้งานให้อย่างชัดเจน แต่ต้องสามารถรับรู้และเข้าถึงได้โดยง่าย




ส่วนร้านค้าและร้านอาหาร(Restaurant Zone)

              ส่วนสนับสนุนโครงการ ได้แก่ส่วนที่เป็นร้านค้า และร้านอาหารที่มีหน้าที่คอยรองรับกลุ่มผู้ใช้โครงการหลัก และรองของโครงการ ดังนั้นในส่วนของความสัมพันธ์จะสัมพันธ์กับส่วนโถงหลักของโครงการเนื่องจากต้องรองรับกลุ่มผู้ใช้โครงการหลัก และกลุ่มบุคคลทั่วไป และที่สำคัญต้องใกล้กับส่วนบริกอาค
เพื่อสะดวกในการขนส่งสินค้าเข้าสู่ส่วนสนับสนุนโครงการ โดยควรแยกทางสัญจรหลัก รอง และเส้นทางบริการออกจากกันอย่างชัดเจน โดยมีรายละเอียดในส่วนร้านค้า


ส่วนบริหารโครงการ (Administration Zone)


ส่วนบริการอาคาร(Service Zone)





 3.2แนวความคิดด้านรูปแบบ(FORM CONCEPTS)

                         3.2.1หลักเกณฑ์การเลือกที่ตั้งโครงการ(Criteria for Site Selection)
                        โครงการพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ผ้าทอไทย เป็นโครงการที่ต้องพิจารณาองค์ประกอบต่างๆโดยเฉพาะจะต้องอยู่ในที่ตั้งที่เหมาะสมต่อทั้งรูปลักษณ์โครงการ และตรงกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นหลักเกณฑ์การพิจารณาที่ตั้ง(Site)โครงการ
            1.หลักเกณฑ์ในการเลือกที่ตั้งโครงการ
            2.หลักเกณฑ์ในการเปรียบเทียบที่ตั้ง

1.หลักเกณฑ์ในการเลือกที่ตั้งโครงการ

            หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาที่ตั้งโครงการทั้ง 3แห่งนั้น ที่ตั้งโครงการทั้ง 3แห่งต้องมีศักยภาพใกล้เคียงกัน โดยโครงการนั้นมีหลักเกณฑ์การพิจารณาที่ตั้งโครงการดังนี้
           
1.การใช้ที่ดิน โครงการเหมาะอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง-มาก หรือเป็น
พื้นที่ที่มีการ  พัฒนาขยายตัว  ไม่เหมาะสมที่จะอยู่เขตพาณิชยกรรม หรือ เขตที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย
เพราะต้องคำนึงถึงการสร้างโครงการ กับสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่เดิมและยากลำบากต่อหน่วยงานของรัฐ มีการคมนาคมที่สะดวกและต้องมีสถานที่ที่ช่วยสนับสนุนโครงการอยู่ในเขต เช่นโครงการของทางราชการหรือเอกชนที่สนับสนุนโครงการ
 2. กลุ่มเป้าหมาย เป็นนักเรียนนักศึกษา หรือบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจในเรื่องผ้าทอ
3.การคมนาคมขนส่ง การเข้าถึงโครงการ ต้องมีความสะดวกสบายและรวดเร็ว
4.โครงการสนับสนุน  ควรจะตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ที่มีโครงการต่างๆของหน่วยราชการเดิมที่มีอยู่ หรือสถานศึกษาเพื่อช่วยสนับสนุนโครงการและมีหน่วยงานเอกชนหรือภาครัฐที่สามารถสนับสนุนโครงการได้อยู่ในพื้นที่
 5.สภาพแวดล้อม เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติและชาวไทย

2.ด้านเทคนิค   (Techniques)

2.1การใช้ที่ดิน (Land Use)
เนื่องจากโครงการพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ผ้าทอ เป็นโครงการทางพิพิธภัณฑ์กึ่งศูนย์การเรียนรู้ ดังนั้นควรจะตั้งอยู่บนพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่ใกล้กลับแหล่งสถานศึกษา และมีสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนการดำเนินกิจกรรมหลักภายในโครงการ คือการเรียนการสอน อีกทั้งลักษณะการใช้ที่ดินต้องสอดคล้องกับประเภทของโครงการ ไม่ขัดต่อข้อกำหนดของการใช้ที่ดินของผังเมืองรวม
2.2โครงสร้างบริการสาธารณะพื้นฐาน(Infrastructure and Facilities)
      ลักษณะของโครงสร้างสาธารณะพื้นที่ฐานบริเวณที่ตั้งโครงการ ต้องมีความ
พร้อม เพื่อสนับสนุนโครงการในการดำเนินกิจกรรม หรือการใช้สอยต่างๆภายในโครงการ และสามารถรองรับการขยายตัวของโครงการในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นได้
2.3ความสะดวกในการเข้าถึง (Accessibility)
เนื่องจากโครงการเป็นโครงการลักษณะจัดแสดงนิทรรศการผลงาน และเผยแพร่ความรู้ ที่มีการดำเนินกิจกรรมหลัก คือจัดแสงผลงานและกิจกรรมรองคือการเรียนรู้ต่างๆภายในโครงการ  ซึ่งมีกลุ่มนักเรียน นักศึกษา บุคคลภายนอกโครงการที่เข้ามาร่วมดำเนินกิจกรรมภายในโครงการจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องมีการเข้าถึงที่สะดวก และง่ายต่อการรับรู้ อีกทั้งยังต้องมีมุมมองของการเข้าถึงโครงการที่ชัดเจน  อีกทั้งต้องคำนึงถึงเรื่องการเข้าถึงที่สามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายต่างๆให้กับโครงการ
2.4การคมนาคม และสภาพการจราจร  (Transportation and Traffic)
โครงการควรจะมีสภาพแวดล้อมไปด้วยรูปแบบการคมนาคมที่เข้าสู่ตัวโครง
การที่หลากหลาย  อยู่ในรูปการคมนาคมที่สะดวก สาารถเข้าถึงได้โดย ซึ่งจะสามารถช่วยส่งเสริมให้ดำเนินกิจกรรมต่างๆภายในโครงการให้บรรลุเป้าหมายได้ง่ายมากยิ่งขึ้น  และอยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพการจราจรไม่แออัดมากนัก เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของโครงการ อีกทั้งยังทำให้กลุ่มเป้าหมายต่างๆมีความสนใจที่จะเข้าดำเนินกิจกรรมภายในโครงการ

3.ด้านสังคมและวัฒนธรรม (Sociality and Culture)

          3.1ลักษณะประชากร (Population)
            ลักษณะของประชากรในบริเวณพื้นที่ตั้งโครงการ หรือสภาพแวดล้อมโดยรอบ ต้องอยู่ในกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการ อีกทั้งยังต้องมีปริมาณของกลุ่มผู้ที่สนใจในโครงการอย่างพอเพียง ทั้งในแง่ของลักษณะ และปริมาณ
3.2ความปลอดภัย (Safety)
พื้นที่ตั้งโครงการควรอยู่ในพื้นที่ที่มีความปลอดภัยสูงทั้งต่อชีวิตและทรัพย์
สินของผู้ใช้โครงการ  และบริเวณทำเลที่ตั้งโครงการควรจะมีความสว่างและไม่เปลี่ยว ในยามค่ำคืน มีสภาพแวดล้อมที่ดีและไม่เอื้ออำนวยต่อการเกิดอาชญากรรมต่างๆ
3.3ความเหมาะสมของประเภทอาคาร(Conformity)
 อาคารของโครงการไม่ควรก่อให้เกิดผลเสียหรือผลกระทบกับอาคารโดยรอบ บุคคลภายนอกสามารถที่จะมองเห็นโครงการได้โดยง่ายมีมุมมองที่ดีส่งเสริมกับโครงการและสามารถเข้าถึงโครงการได้โดยง่าย

4.  ด้านสภาพแวดล้อม (Environment)

4.1สภาพบริเวณโดยรอบ (Surrounding)
สภาพแวดล้อมมีความสำคัญมากที่สุดในการเลือกที่ตั้งโครงการ  ควรตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี อยู่ในแหล่งชุมชนที่มีภาพลักษณ์ส่งเสริมสถาบันการศึกษา อีกทั้งสภาพแวดล้อมของโครงการยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อรูปลักษณ์ของโครงการ
4.2การมองเห็นที่ตั้งและลักษณะเชื้อเชิญ (Approach and Invitation)
ลักษณะของที่ตั้ง และสภาพแวดล้อมของโครงการต้องเอื้ออำนวยต่อโครงการในแง่ของการมองเห็นซึ่งต้องสามารถมองเห็นโดยง่ายจากในระยะใกล้ และระยะไกล อีกทั้งต้องมีสภาพของสิ่งแวดล้อมที่เชื้อเชิญ และดึงดูดกลุ่มเป้าหมายต่างๆของโครงการให้เข้าสู่สถาบัน
4.3ทิวทัศน์  (View from Site)
สภาพแวดล้อมภายนอกโครงการต้องมีสภาพแวดล้อที่ดี ที่เอื้ออำนวยต่อการ
เรียนการสอน อีกทั้งต้องสนับสนุนให้เกิดบรรยากาศที่เหมาะสมต่อการสร้างสรรค์ความคิดในการเรียน หรือการผลิตชิ้นงาน อีกทั้งมุมมองที่ดีจากภายในโครงการยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่โครงการ
4.4ความสัมพันธ์โครงการที่เกี่ยวข้อง(Linkage)
            พื้นที่ตั้งโครงการควรจะมีสถานที่ที่มีการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมโครงการ ทั้งในส่วนของการเกื้อหนุนทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การตลาด และการเอื้ออำนวยต่อการดำเนินกิจกรรมต่างๆภายในโครงการ อีกทั้งโครงการมีลักษณะกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งส่วนเผยแพร่ความรู้ ข่าวสาร ข้อมูล และการจัดแสดงงาน และพิพิธภัณฑ์ ดังนั้นควรมีการเชื่อมต่อกับโครงการอื่นที่มีส่วนส่งเสริม และมีความสัมพันธ์กันทางด้านกิจกรรม 




2.หลักเกณฑ์ในการเปรียบเทียบที่ตั้ง

เนื่องจากโครงการมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาหาที่ตั้งโครงการ ดังนั้นจึงนำหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาเปรียบเทียบที่ตั้งโครงการเพื่อหาที่ตั้งโครงการที่เหมาะสมที่สุดจากที่ตั้งโครงการทั้ง 3แห่ง โดยเป็นหลักเกณฑ์การให้ลำดับคะแนนตามลำดับความสำคัญของแต่ละหลักเกณฑ์ดังนี้

3.2.2แนวความคิดโครงการด้านจินตภาพ(Image Concept)

          แนวความคิดโครงการด้านจินตภาพของพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ผ้าทอไทย นั้นต้องสามารถสื่อถึงความเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ ที่เน้นทางด้านความเป็นศิลปะผ้าทอไทยที่ผสมผสานกับความล้ำสมัยออกมาได้ในรูปแบบของอาคารสถาปัตยกรรม โดยสามารถสะท้อนรูปลักษณ์ภายนอก และลักษณะคุณภาพของพื้นที่ภายในโครงการ ได้ดังนี้
           
1.แนวความคิดโครงการด้านจินตภาพภายนอกโครงการ
          ลักษณะการสะท้อนความเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ผ้าทอไทย ออกมายังรูปลักษณ์ของอาคารนั้นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้
            -กิจกรรมและหน้าที่ใช้สอย(Activities and Function)
            -ผู้ใช้โครงการ(User)
            -ที่ตั้งและสภาพแวดล้อมของโครงการ(Site and Environment)
            -ยุคสมัยและสไตล์ตามช่วงเวลาที่โครงการนั้นเกิดขึ้น(Time Period and Style)
3.3แนวความคิดด้านเศรษฐศาสตร์(Economy Concepts)
การกำหนดแนวความคิดทางด้านเศรษฐศาสตร์มีหลายประเด็นแต่ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำโปรแกรมทางสถาปัตยกรรม
3.3.1 ประสิทธิภาพอาคาร   (Building Efficiency) ประกอบด้วย
-พื้นที่ใช้งานสุทธิ (Assignable Area)คือพื้นที่รวมของทุกๆพื้นที่ใช้สอยที่
ต้องการตามโปรแกรม
-พื้นที่สนับสนุน(Unassigned Area)คือพื้นที่ที่นอกเหนือจากพื้นที่ใช้งานโดย
เฉพาะพื้นที่ทางสัญจร ห้องเครื่อง ห้องน้ำส่วนรวม ห้องเก็บของผนังกั้นต่างๆ โดยไม่รวมพื้นที่จอดรถซึ่งแตกต่างไปตามกฎหมายของแต่ละท้องที่ และพื้นที่ใช้งานภายนอก (Outdoor Space)เพราะถือเป็นพื้นที่ใช้งานแต่อยู่ภายนอกอาคาร
-สัดส่วนประสิทธิภาพของอาคาร   (Efficiency Ratio)คือสัดส่วนร้อยละของ
พื้นที่สนับสนุนต่อพื้นที่ใช้งานสุทธิ มีระดับโดยทั่วไปอยู่ 3 ระดับ คือ
1.ระดับดีมาก                 อัตราส่วน          40 50 %       ของพื้นที่ทั้งหมด
2.ระดับปานกลาง           อัตราส่วน          30 %               ของพื้นที่ทั้งหมด
3.ระดับประหยัด             อัตราส่วน           20 %               ของพื้นที่ทั้งหมด
โครงการพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ผ้าทอไทย เป็นโครงการประเภท
พิพิธภัณฑ์กึ่งศูนย์การเรียนรู้ ดังนั้นสัดส่วนของพื้นที่สนับสนุนต่อพื้นที่ใช้งานสุทธิจึงอยู่ในระดับดีมาก มีพื้นที่ภายในอาคารเปิดโล่งมากพอเพื่อสร้างคุณภาพให้กับที่ว่างและเสริมสร้างทัศนียภาพให้กับอาคาร โดยสามารถแบ่งสัดส่วนประสิทธิภาพของอาคารตามองค์ประกอบต่างๆ ภายในโครงการได้ดังต่อไปนี้

3.3.2 คุณภาพอาคาร (Building Quality Control)

คุณภาพของอาคารสามารถบอกด้วยราคาค่าก่อสร้างต่อตารางเมตร ซึ่งโดย
ทั่วไปรวมถึงงานสถาปัตยกรรม งานโครงสร้าง ระบบไฟฟ้า ระบบสุขาภิบาลแต่ไม่รวมถึงอุปกรณ์พิเศษที่ติดตั้ง สำหรับอาคารเพื่อการศึกษามีการประเมินค่าก่อสร้าง ดังนี้[1]
1.ระดับประหยัด             ราคาค่าก่อสร้าง                8,000 บาท/ตารางเมตร
2.ระดับปานกลาง  ราคาค่าก่อสร้าง                       10,000 บาท/ตารางเมตร
3.ระดับดีมาก     ราคาค่าก่อสร้าง              15,000 บาท/ตารางเมตร
สำหรับโครงการพิพิธภัณ์เพื่อการเรียนรู้ผ้าทอไทย เป็นโครงการพิพิธภัณ์กึ่งศูนย์การเรียนรู้ ดังนั้นจึงมีการกำหนดคุณภาพอาคารให้อยู่ในระดับระดับปานกลางถึงดีมาก เนื่องจากต้องมีการควบคุมคุณภาพในด้านการจัดแสดงผลงาน และส่วนการเรียนรู้ เนื่องจากเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงการ โดยสามารถแสดงรายละเอียดองค์ประกอบโครงการให้สัมพันธ์กับราคาค่าก่อสร้างและระดับคุณภาพอาคาร ได้ดังต่อไปนี้


[1] จากตารางราคาค่าก่อสร้าง,เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชา AS 5217 THESIS PREPARATION
  อ้างอิงจากวิทยานิพนธ์นายวิสูตร โลหะจรูญ สถาบันส่งเสริมแฟชั่นดีไซน์นานาชาติ ปีพ.ศ.2538
   และหนังสือการจัดทำโครงการทางสถาปัตยกรรม โดย ดร.นฤพนธ์ ไชยยศ และ ดร. อวิรุทธ์ เจริญทรัพย์ 




สรุป แนวความคิดโครงการทางด้านเศรษฐศาสตร์โครงการพิพิธภัณ์เพื่อการเรียนรู้ผ้าทอไทย เป็นโครงการที่เน้นทางด้านคุณภาพของอาคาร
 
3.4แนวความคิดด้านเทคโนโลยี(Technology Concepts)
              แนวความคิดโครงการทางด้านเทคโนโลยี เป็นการเลือกประเภทของเทคโนโลยีอาคารให้เหมาะสมกับประเภทและลักษณะของโครงการโดยอ้างอิงจากบทที่2 ข้อมูลพื้นฐานโครงการ และสอดคล้องกับบทที่1 เป้าหมายโครงการ เพื่อใช้ในการพิจารณาหา บทที่4 ในส่วนของรายละเอียดโครงการทางด้านเทคโนโลยี
              -ระบบโครงสร้างอาคารต้องเหมาะสมและตอบรับกับรูปแบบอาคาร
              -ระบบเทคโนโลยีอาคารและระบบการก่อสร้างต้องมีประสิทธืภาพที่ดีที่สุด ในปริมาณราคาที่ต่ำที่สุด เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการลงทุน
              -ระบบเทคโนโลยีอาคารมีความเหมาะกับการใช้งานของอาคาร




              -ระบบเทคโนโลยีอาคารมีราคาค่าติดตั้ง และค่าบำรุงรักษาในระยะยาว ที่ไม่สมควรแพงเกินไปนัก เพื่อลดต้นทุนในการลงทุน
              -ระบบเทคโนโลยีอาคารต้องมีความปลอดภัยในการใช้งานในระยะยาว
              -ระบบเทคโนโลยีอาคารต้องอายุยืนยาวในการใช้งาน
              -ระบบเทคโนโลยีอาคารต้องสามารถช่วยประหยัดพลังงานอาคารได้ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
              โดยรายละเอียดแนวความคิดโครงการทางด้านเทคโนโลยีอาคารมี 2ส่วนดังนี้[1]
              3.4.1ระบบอาคาร(Building System)
              3.4.2ระบบเทคโนโลยีพิเศษ(Specific Technology)

3.4.1ระบบอาคาร(Building System)
1ระบบโครงสร้างอาคาร(Building Structure)
          
1.1ระบบโครงสร้างเสาและคาน


[1] หนังสือระบบอุปกรณ์อาคารสำหรับงานสถาปัตยกรรม โดยผศ.วิชัย พิทักษ์วรรัตน์

ระบบโครงสร้างเสา-คานเป็นแบบระบบเสาและคานคอนกรีตเสริมเหล็ก เนื่องจากราคาไม่แพงมากนัก และง่ายต่อการก่อสร้าง ประกอบกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการก่อสร้างจึงไม่มีขอบเขตในการก่อสร้างในระบบเสาและคานคอนกรีต

1.2ระบบโครงสร้างหลังคา


-ระบบโครงสร้างแบบ Flat Slab
              ระบบโครงสร้างหลังคาแบบFlat Slab คล้ายคลึงกับโครงสร้างพื้น เพียงแต่ต้องมีวัสดุกันความร้อน และวัสดุกันความชื้น





-ระบบแบบ Truss
              ระบบหลังคาแบบโครงสร้างเหล็ก 2มิติ เป็นโครงสร้างที่มีเพื่อส่วนที่มีการดัดโค้ง หรือรูปทรงแปลก ง่ายต่อการบุวัสดุมุง และตกแต่งองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม
              -ระบบแบบ Space Truss
              ระบบหลังคาแบบโครงสร้างเหล็ก 3มิติ เป็นโครงสร้างที่แสดงรูปทรงบางจุด เช่นโดม หรือรูปทรงต่างที่ต้องการการถ่ายแรงน้ำหนีชักได้ดี และส่งผลให้รูปลักษณ์อาคารสวยงาม

2.ระบบปรับอากาศ(Air-Conditioning)


-ระบบปรับอากาศแบบ Split Type
              ส่วนพื้นที่ที่มีการใช้ระบบปรับอากาศแบบช่วงเวลา เช่น ห้องเรียนหรือส่วนห้องทำงาน ก็ควรจะใช้ระบบปรับอากาศระบบนี้ เพื่อความประหยัด



-ส่วนระบบปรับอากาศแบบเครื่องทำน้ำเย็นระบายความร้อนด้วยน้ำ
(Water Cooled Water Chiller)
              ส่วนที่ต้องใช้ระบบปรับอากาศแบบตลอดเวลา หรือพื้นที่การใช้งานมีขนาดใหญ่เช่นส่วนสาธารณะ หรือส่วนจัดแสดงนิทรรศการควรจะใช้ระบบนี้

3.ระบบสุขาภิบาล
              3.1ระบบประปา
3.2ระบบน้ำเสีย


-ระบบน้ำเสียแบบทั่วไปโดยแยกเป็นระบบน้ำเสียจากอ่างหน้า ระบบน้ำเสียจากท่อ และระบบน้ำเสียจากห้องครัว โดยระบายมาตามท่อแนวนอน แล้วมารวมกันในท่อแนวตั้งแล้วจึงนำไปบำบัดก่อนปล่อยสู่ท่อน้ำเสียสาธารณะ โดยอุปกรณ์ร่วมระบบระบายน้ำเสีย คือ ที่ดักกลิ่น ตะแกรงดักกลิ่น และที่ดักไขมัน

           3.3ระบบโสโครก



- ระบบน้ำโสโครกเป็นระบบที่ระบายของเสียจากโถส้วม และโถปัสสาวะโดยระบบเดินท่อ จะมีท่อแนวนอนที่ต่อออกจากแหล่งกำเนิดสิ่งโสโครก และท่อแนวตั้งที่เป็นท่อรวมท่อแนวนอนก่อนนำไปยังถังบำบัด โดยอุปกรณ์ร่วม คือช่องทำความสะอาดท่อ

     3.4ระบบบำบัดน้ำเสีย



-ระบบบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศ ระบบนี้เหมาะกับอาคารขนาดกลาง ซึ่งง่ายต่อการดูแลรักษา มีประสิทธิภาพดี และราคาไม่แพง


4ระบบไฟฟ้ากำลัง(Eletricity)








-ระบบไฟฟ้ากำลังแบบ Sub-station
              เนื่องจากต้องการของกำลังไฟฟ้าสูง เพื่อความสะดวกสบายของโครงการในการจ่ายปริมาณไฟฟ้าจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องแยกหม้อแปลงไฟฟ้าออกมาต่างหาก โดยแยกส่วนเป็นของภายในโครงการจากระบบไฟฟ้าสาธารณะโดยทั่วไป

5.ระบบไฟฟ้าฉุกเฉิน(Emergency System)


-ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินแบบดีเซล เป็นระบบที่ทำงานอัตโนมัติ คือ หลังจากที่ไฟฟ้าเมนดับระบบจะสตาร์ทเครื่องและมีสวิทซ์สับเปลี่ยนจ่ายไฟให้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่สำคัญ

-ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินแบบแบตเตอร์รี่ จะถูกติดตั้งเพื่อให้แสงสว่างในระหว่างที่รอไฟจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า



System)
              ระบบป้องกันไฟฟ้าแบบนี้สามารถป้องกันฟ้าผ่ารอบอาคารได้ โดยส่วนประกอบสำคัญได้แก่
                        1.สายล่อฟ้า
                        2.สายนำลงดิน
                        3.สายรายดิน



7.ระบบสื่อสารโทรคมนาคม(Communication)
              7.1ระบบโทรศัพท์(Telephone System)


-ระบบโทรศัพท์ภายในอาคารหลังจาก เชื่อมสายจากองค์การโทรศัพท์กับห้องชุมสายแล้ว  สายโทรศัพท์จะแยกเข้าตู้สาขา เพื่อจัดระบบ และหมายเลข จากนั้นจะส่งไปยังแผงควบคุมในแต่ละชั้น
              -ระบบโทรศัพท์ ใช้สำหรับติดต่อระหว่างหน่วยงานในโครงการ  
              -ระบบโทรศัพท์สาธารณะสำหรับบุคคลทั่วไป
          
           7.2ระบบโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV System)
              -ระบบรักษาความปลอดภัยรวม และแยกส่วนตามจุดสำคัญของอาคาร
           ระบบโทรทัศน์วงจรปิดแบบระบบรักษาความปลอดภัยรวมของอาคาร โดยจะมีการติดตั้งกล้องตามตำแหน่งสำคัญ ได้แก่ ทางเข้า โถง ในลิฟท์ ร้านอาหาร และส่วนพื้นที่อื่นๆ ซึ่งจอภาพสามารถปรับเปลี่ยนการมองด้วยการตั้งเวลาในการดู เพื่อให้เกิดการมองพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง ในกรณีที่อาคารมีขนาดใหญ่และมีความต้องการในการรักษาความปลอดภัยสูง




8.ระบบป้องกันอัคคีภัยและระบบดับเพลิง(Fire Protection Extinguishers)
     8.1ระบบป้องกันอัคคีภัย






ใช้แบบระบบทั้ง Smoke Detector และ Heat Detector ซึ่งเมื่อเกิดเพลิงไหม้จะทำการแสดงผลไปยังห้องควบคุมเพื่อส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังระบบ Fire Detector System โดยระบบ Sprinkle ซึ่งเมื่อโดนความร้อนจนถึงอุณหภูมิที่กำหนดไว้ ปรอทจะแตกและปล่อยน้ำออก เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการป้องกันภัยที่ดี

8.2ระบบดับเพลิง
    -ชนิดสายสูบ เป็นระบบท่อแห้งไม่มีน้ำอยู่ในสภาวะท่อปกติแต่มีอูปกรณ์ควบคุน้ำที่ส่งมาในท่อระบบนี้จะใช้คนนำสายสูบใช้ได้กับทุกมุม ความยาวสายทั่วไป 15, 23และ30 เมตร
-ชนิดโปรยน้ำสามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติคือการเดินท่อไปตามฝ้าเพดานแบบ GRIDโดยเว้นระยะให้หัวฉีดกระจายน้ำออกไปซึ่งน้ำในท่อจะมีความดันพร้อมจ่าย


9.ระบบแสงสว่าง(Lighting)



          -การให้แสงทางตรง คือ แสงสว่างที่พุ่งตรงจากจุดกำเนิดแสงมาสู่สายตาเราโดยตรงโดยไม่มี                วัสดุบัง ดวงโคมที่ให้แสงสว่างจะต้องสะท้อนแสงลงมาได้ประมาณ 90 % โดยการให้แสงทางตรงนั้นมักจะใช้ในการให้แสงสว่างในสำนักงาน โถง ส่วนแสดงแฟชั่นโชว์ส่วนแสดงนิทรรศการและสถานที่ที่ต้องการเน้นแสงเฉพาะจุด
     -การให้แสงกึ่งตรง คือ การออกแบบให้แสงสว่างออกจากด้านล่าง ของแหล่งกำเนิดแสงโดยตรงเพียงประมาณ 60-90% ของปริมาณแสงทั้งหมด และกำหนดให้แสงส่วนที่เหลือฉายขึ้นไปกระทบเพดานส่วนหนึ่งและสะท้อนกระจายออกไป การเลือกใช้แสงแบบกึ่งตรงนั้นจะใช้สำหรับสำนักงาน ห้องเรียน และสถานที่ต่างๆที่ต้องการแสงสว่างเฉลี่ยในระดับที่เสมอกันทั่วบริเวณ

12.ระบบขยะ
  ระบบการจัดเก็บขยะใช้แบบแยกขยะเปียก และแห้ง ซึ่งสามารถแยกขยะในเบื้องต้นได้ก่อนที่จะออกนอกโครงการเพื่อนำไปกำจัด ซึ่งระบบนี้สามารถรักษาดูแลได้ง่าย และไม่เสียค่าใช้จ่ายมากในการจัดเก็บ





















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น